Picture
หลินจือ ถือเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ อันเป็นเรื่อง ปกติของการบำบัด ด้วยยาสมุนไพรแผนโบราณ เนื่องจากเมื่อตัวยาได้เริ่มเข้าไปบำบัดนั้น หลินจือ จะเข้าไปชะล้างสิ่งที่เป็นพิษ ในร่างกายให้สลายหรือเคลื่อนย้ายขับสารพิษ ออกจากร่างกาย

Picture
หลินจือ สำหรับผู้ที่รับประทานหลินจือ ใหม่ ๆ นั้น อาจจะรู้สึกมึนศีรษะ  ปวดตามข้อ ปวดเมื่อย ง่วงนอน ผิวหนังเกิด อาเจียน อาการคัน อาการคล้ายท้องเสีย ท้องผูก มีปัสสาวะบ่อย หรือจะมีผลลักษณะอาการของโรคนั้น ๆ ได้





หลินจือ จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณ ว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว ไม่ใช่ผลข้างเคียง ดังเช่น สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เมื่อรับประทานหลินจือแล้วอาจจะมีการ ขับถ่ายน้ำตาล ออกมามากผิดปกติ ส่วนผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์อาจเกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น โรคไต หรือผู้ป่วยที่ต้อง ล้างไต จะปวดเมื่อยตามข้อ เท้าจะบวม ร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2-3 วัน หรือประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะกลับสู่สภาพปกติ แล้วแต่สภาพร่างกาย อันแตกต่างกัน ของแต่ละคน ไม่ต้องตกใจ ให้รับประทานหลินจือต่อไป อย่าหยุด หากมีผลทางอาการมาก ให้ลด จำนวนแคปซูลลง เมื่อมีอาการปกติ ให้รับประทานหลินจือตามคำแนะนำต่อไป สำหรับผู้ป่วยที่กำลัง รับประทานยารักษาที่แพทย์สั่ง ก็สามารถรับประทานหลินจือควบคู่ไปได้


 
เห็ด หลินจือ (อังกฤษ: Lingzhi) เป็นยาจีน (Chinese traditional medicine) ที่ใช้กันมานานกว่า 2,000 ปี นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา เห็ดหลินจือเป็นของหายากมีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน และได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีนมีคนนับถือมากที่สุด ได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือเป็น “เทพเจ้าแห่งชีวิต” (Spiritual essence) มีพลังมหัศจรรย์ บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุออกไปให้ยืนยาว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง!! และยังสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ชาวจีนโบราณต่างยกย่องเห็ดหลินจืออย่างเหนือชั้น ว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน นอกจากจะมีสรรพคุณเหนือชั้นกว่าแล้วยังปลอดภัยไม่มีพิษใด ๆ
ต่อร่างกาย

เห็ดหลินจือได้ถูกบันทึกไว้ว่า มีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมาก กว่า 100 สายพันธุ์ และสำหรับสายพันธุ์ที่นิยมมีสรรพคุณทางยาดีที่สุดคือ กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั่ม (Ganoderma lucidum) หรือสายพันธุ์สีแดง

เห็ดหลินจือมีสารโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งเป็นสารยับยั้งอาการต่างๆ ข้างต้น เห็ดหลินจือในแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกัน แต่สายพันธุ์ที่มีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุด คือ เห็ดหลินจือสีแดง ซึ่งมีงานวิจัยต่างๆ พบว่ามีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุดในบรรดาเห็ดหลินจือทั้งหมด

ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ เห็ดหลินจือออกมาจำหน่ายกันเป็นจำนวนมาก การเลือกผลิตภัณฑ์ เห็ดหลินจือแดงควรศึกษาตั้งแต่วิธีการเพาะปลูก ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญ เพราะการจะได้เห็ดหลินจือ ที่มีคุณภาพที่ดีนั้น ตัวเห็ดหลินจือเอง จะต้องได้รับการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งในเรื่องความชื้น แสงสว่าง และสารอาหารที่ได้รับ ส่วนขั้นตอนการแปรรูป ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะถือเป็นกระบวนการที่จะสกัดสารโพลีแซคคาไรด์จากตัวเห็ดเองออกมาให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้การบรรจุภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน ควรเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้ดี เพราะว่าความชื้นจะทำให้เห็ดหลินจือขึ้นราได้ เนื่องจากเห็ดหลินจือค่อนข้างไวต่อความชื้น
เห็ดหลินจือ 
เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ
 
โพลีแซคคาไรค์กับเซลล์ของมนุษย์
บทบาทหลักๆของโพลีแซคคาไรด์

o ยกระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย และฟื้นฟูภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
o ลดคอเลสเตอรอลและนํ้าตาลในเลือด
o เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
o ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์

โพลีแซคคาไรค์ ทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นรอบ ๆเซลล์
โพลีแซคคาไรด์จากเห็ด สารที่มีฤทธิ์ซ่อมแซมกระตุ้นเซลล์ให้แข็งแรง
สารกระตุ้นภูมิคุ้มกันจะใช้กับผู้ที่ภูมิคุ้มกันตํ่า1. ชราภาพ เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ก็เริ่มเสื่อม ควรใช้สารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ฟื้นตัวกลับมีพลังอีกครั้ง จะชะลอความชรา2. ภาวะอ่อนเพลีย จากงานที่หนัก ความเครียด การเดินทาง การออกกำลังกายเกินพิกัด 3. ติดเชื้อ ไวรัส (ไวรัสหวัด, ตับอักเสบ B, HIV) 4. เนื้องอก มะเร็ง และการคีโม 5. เป็นโรคแห่งความเสื่อมเรื้อรังต่างๆ เช่น ภูมิแพ้ ไซนัส โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ ฯลฯ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตํ่าอย่างเห็นได้ชัด


ร่างกายของเรา..
ระหว่างเซลล์ ถ้ามีโพลีแซคคาไรด์จำนวนมาก
การซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย..
ก็จะไว
โพลีแซคคาไรด์จากเห็ด.. สามารถทดแทนโพลีแซคคาไรด์ ของร่างกายมนุษย์ได้...
จะทำให้เซลล์แข็งแรง ยึดอายุของเซลล์ และทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี มีอายุยืนยาว